ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีชายสองคนที่ชื่อเหมือนกัน พวกเขาทั้งสองชื่อว่า คลอส คนหนึ่งมีม้าสี่ตัว แต่อีกคนมีม้าเพียงตัวเดียว เพื่อให้แยกแยะกันได้ ชาวบ้านจึงเรียกคนที่มีม้าสี่ตัวว่า “คลอสใหญ่” และคนที่มีม้าแค่ตัวเดียวว่า “คลอสเล็ก” ตอนนี้เราจะได้ฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับพวกเขา เพราะนี่คือเรื่องจริง
ตลอดทั้งสัปดาห์ คลอสเล็กต้องไถนาให้คลอสใหญ่ และต้องให้ยืมม้าตัวเดียวของเขาไปใช้ และสัปดาห์ละครั้งในวันอาทิตย์ คลอสใหญ่จะให้ยืมม้าทั้งสี่ตัวของเขา คลอสเล็กจะตีแส้เหนือม้าทั้งห้าตัวอย่างดีใจ เพราะในวันนั้นม้าทั้งห้าตัวเหมือนเป็นของเขาเอง
แสงอาทิตย์ส่องสว่าง และระฆังโบสถ์ดังกังวานอย่างร่าเริง ขณะที่ผู้คนเดินผ่านไป ต่างแต่งตัวดีที่สุด ถือหนังสือสวดมนต์ไว้ใต้แขน พวกเขากำลังไปฟังนักบวชเทศนา พวกเขามองไปที่คลอสเล็กที่กำลังไถนาด้วยม้าทั้งห้าตัว เขารู้สึกภูมิใจมากจนตีแส้แล้วพูดว่า “เดินไป ม้าทั้งห้าตัวของฉัน!”
“นายไม่ควรพูดแบบนั้น” คลอสใหญ่บอก “เพราะม้าแค่ตัวเดียวเท่านั้นที่เป็นของนาย”
แต่คลอสเล็กก็ลืมในไม่ช้าว่าควรพูดอย่างไร และเมื่อมีคนเดินผ่าน เขาก็ตะโกนออกมาอีกว่า “เดินไป ม้าทั้งห้าตัวของฉัน!”
“ฉันขอเตือนนาย อย่าพูดแบบนั้นอีก” คลอสใหญ่พูด “ถ้านายพูดอีก ฉันจะตีหัวม้าของนายให้ตายคาที่เลย”
“ฉันสัญญาว่าจะไม่พูดอีกแล้ว” คลอสเล็กบอก แต่เมื่อมีคนเดินผ่านมาทักทายเขาและกล่าวคำว่า “สวัสดี” เขาก็ดีใจมาก และคิดว่าการมีม้าทั้งห้าตัวไถนาในที่นาของเขานั้นดูยิ่งใหญ่มาก เขาจึงตะโกนออกมาอีกว่า “เดินไป ม้าทั้งหมดของฉัน!”
“ฉันจะทำให้ม้าของนายเดินให้เอง” คลอสใหญ่พูด แล้วคว้าค้อนมาตีหัวม้าตัวเดียวของคลอสเล็ก มันล้มลงตายในทันที
“โอ้ ตอนนี้ฉันไม่มีม้าเลย” คลอสเล็กพูดพร้อมกับร้องไห้
แต่หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ถลกหนังม้าที่ตายไปออกมา แล้วแขวนหนังนั้นตากลมให้แห้ง จากนั้นเขาก็ใส่หนังแห้งลงในถุง สะพายถุงไว้บนบ่า แล้วเดินทางไปยังเมืองถัดไปเพื่อขายหนังม้า
เขาต้องเดินทางไกลมาก และต้องผ่านป่าที่มืดมิดและน่ากลัว ทันใดนั้นพายุก็พัดมา เขาหลงทาง และกว่าจะหาทางที่ถูกต้องได้ก็เย็นแล้ว ยังอยู่ห่างจากเมืองมาก และไกลเกินกว่าจะกลับบ้านก่อนค่ำ
ใกล้ถนนมีบ้านไร่หลังใหญ่ บานประตูหน้าต่างปิดสนิท แต่มีแสงลอดออกมาจากรอยแยกด้านบน “ฉันอาจจะขออนุญาตพักที่นี่คืนหนึ่งได้” คลอสเล็กคิด เขาจึงเดินไปที่ประตูและเคาะ
ภรรยาของชาวนาเปิดประตูออกมา แต่เมื่อได้ยินสิ่งที่เขาต้องการ เธอก็บอกให้เขาไปเสีย เพราะสามีของเธอไม่อนุญาตให้รับคนแปลกหน้า “งั้นฉันต้องนอนข้างนอกนี่แหละ” คลอสเล็กพูดกับตัวเอง ขณะที่ภรรยาชาวนาปิดประตูใส่หน้าเขา
ใกล้บ้านไร่มีกองหญ้าแห้งขนาดใหญ่ และระหว่างกองหญ้ากับตัวบ้านมีเพิงเล็กๆ ที่มีหลังคามุงจาก “ฉันนอนข้างบนนั้นได้” คลอสเล็กพูดขณะมองไปที่หลังคา “มันจะเป็นเตียงที่นุ่มสบาย แต่ฉันหวังว่านกกระสาจะไม่บินลงมากัดขาฉัน” เพราะบนหลังคานั้นมีนกกระสาตัวเป็นๆ ยืนอยู่ และรังของมันก็อยู่บนหลังคานั้นด้วย
คลอสเล็กจึงปีนขึ้นไปบนหลังคาเพิง และขณะที่เขานอนหันตัวไปมาเพื่อให้สบาย เขาก็สังเกตเห็นว่าบานประตูไม้ที่ปิดอยู่ไม่ถึงขอบบนของหน้าต่างบ้านไร่ เขาจึงมองเห็นเข้าไปในห้องที่มีโต๊ะใหญ่ตั้งอยู่ บนโต๊ะมีไวน์ เนื้ออบ และปลาที่ดูน่ากินมาก
ภรรยาชาวนาและนักบวชประจำหมู่บ้านนั่งอยู่ด้วยกันที่โต๊ะ เธอรินไวน์ให้เขา และตักปลาให้เขาเยอะๆ ซึ่งดูเหมือนจะเป็นอาหารที่เขาชอบ “ถ้าฉันได้กินบ้างก็คงดี” คลอสเล็กคิด และเมื่อเขายืดคอไปที่หน้าต่าง เขาก็เห็นพายชิ้นใหญ่สวยงาม ใช่แล้ว พวกเขากำลังมีงานเลี้ยงที่แสนวิเศษ
ในขณะนั้น เขาได้ยินเสียงคนขี่ม้ามาตามถนนมุ่งหน้าไปยังบ้านไร่ เป็นชาวนาที่กลับบ้านมา เขาเป็นคนดี แต่มีอคติแปลกๆ คือเขาเกลียดนักบวชมาก ถ้าเห็นนักบวช เขาจะโกรธจัด
เพราะความไม่ชอบนี้ นักบวชจึงมาเยี่ยมภรรยาชาวนาในขณะที่สามีของเธอไม่อยู่บ้าน และหญิงผู้นั้นก็จัดอาหารที่ดีที่สุดในบ้านให้เขากิน เมื่อเธอได้ยินเสียงชาวนากลับมา เธอตกใจมาก และขอร้องให้นักบวชซ่อนตัวในหีบไม้ใบใหญ่ที่วางอยู่ในห้อง
นักบวชทำตาม เพราะเขารู้ว่าสามีของเธอทนเห็นนักบวชไม่ได้ หญิงคนนั้นรีบเก็บไวน์ และซ่อนของอร่อยที่เหลือไว้ในเตาอบ เพราะถ้าสามีของเธอเห็น เขาจะถามว่าเอามาออกมาเพื่ออะไร
“โอ้ โธ่” คลอสเล็กถอนหายใจจากบนหลังคาเพิง ขณะที่เห็นของอร่อยทั้งหมดหายไป
“มีใครอยู่ข้างบนนั้นไหม?” ชาวนาถาม พร้อมกับมองขึ้นมาและเห็นคลอสเล็ก “ทำไมนายนอนอยู่ข้างบนนั้น? ลงมา แล้วเข้ามาในบ้านกับฉันสิ”
คลอสเล็กจึงลงมาและเล่าให้ชาวนาฟังว่าเขาหลงทาง และขอพักค้างคืน
“ได้สิ” ชาวนาพูด “แต่เราต้องกินอะไรกันก่อน”
ภรรยารับทั้งสองคนอย่างใจดี เธอปูผ้าบนโต๊ะใหญ่ และวางจานโจ๊กไว้ข้างหน้า ชาวนาหิวมาก และกินโจ๊กอย่างเอร็ดอร่อย แต่คลอสเล็กอดคิดถึงเนื้ออบ ปลา และพายที่ซ่อนอยู่ในเตาอบไม่ได้
ใต้โต๊ะ ตรงเท้าของเขา มีถุงที่ใส่หนังม้าที่เขาจะไปขายที่เมืองถัดไป คลอสเล็กไม่ชอบโจ๊กเลย เขาจึงเหยียบถุงใต้โต๊ะ และหนังแห้งในถุงก็ส่งเสียงดัง
“เงียบ!” คลอสเล็กพูดกับถุงของเขา พร้อมกับเหยียบมันอีกครั้งจนเสียงดังยิ่งกว่าเดิม
“เฮ้! นายมีอะไรอยู่ในถุงนั้น!” ชาวนาถาม
“โอ้ มันคือนักมายากล” คลอสเล็กบอก “เขาบอกว่าเราไม่ต้องกินโจ๊ก เพราะเขาเสกเตาอบให้เต็มไปด้วยเนื้ออบ ปลา และพาย”
“สุดยอด!” ชาวนาตะโกน ลุกขึ้นและเปิดประตูเตาอบ และนั่นเอง ของอร่อยทั้งหมดที่ภรรยาซ่อนไว้ก็ปรากฏ เขาคิดว่านักมายากลใต้โต๊ะเสกมันมา
ภรรยาไม่กล้าพูดอะไร เธอจึงวางของเหล่านั้นลงข้างหน้า และทั้งสองก็กินปลา เนื้อ และขนมอบกัน
จากนั้นคลอสเล็กเหยียบถุงของเขาอีกครั้ง และมันก็ส่งเสียงดังเช่นเดิม “เขาพูดว่าอะไรตอนนี้?” ชาวนาถาม
“เขาบอกว่า” คลอสเล็กตอบ “มีไวน์สามขวดสำหรับเรา ตั้งอยู่ที่มุมใกล้เตาอบ”
หญิงคนนั้นจึงต้องนำไวน์ที่เธอซ่อนไว้ออกมา และชาวนาดื่มจนรู้สึกครึกครื้น เขาอยากได้นักมายากลแบบที่คลอสเล็กมีในถุงมาก
“เขาสามารถเสกปีศาจออกมาได้ไหม?” ชาวนาถาม “ฉันอยากเห็นมันตอนนี้ ในขณะที่ฉันกำลังอารมณ์ดี”
“ได้สิ!” คลอสเล็กตอบ “นักมายากลของฉันทำได้ทุกอย่างที่ฉันขอ—ทำได้ไหม?” เขาถาม พร้อมเหยียบถุงจนมันส่งเสียง “ได้ยินไหม? เขาตอบว่า ‘ได้’ แต่เขากลัวว่าเราจะไม่ชอบมองมัน”
“โอ้ ฉันไม่กลัว มันจะเป็นยังไง?”
“มันเหมือนนักบวชมาก”
“ฮ่า!” ชาวนาพูด “งั้นมันต้องน่าเกลียด ฉันบอกนายแล้วว่าฉันทนเห็นนักบวชไม่ได้ แต่ไม่เป็นไร ฉันจะรู้ว่าเป็นใคร ฉันเลยไม่กลัว เอาล่ะ ฉันพร้อมแล้ว แต่อย่าให้มันมาใกล้ฉันมากนัก”
“เดี๋ยว ฉันต้องถามนักมายากลก่อน” คลอสเล็กบอก เขาเหยียบถุงและก้มลงไปฟัง
“เขาพูดว่าอะไร?”
“เขาบอกว่านายต้องไปเปิดหีบใหญ่ที่ตั้งอยู่มุมห้อง แล้วนายจะเห็นปีศาจหมอบอยู่ข้างใน แต่นายต้องจับฝาให้แน่น เพื่อไม่ให้มันหลุดออกมา”
“นายจะมาช่วยฉันจับฝาไหม?” ชาวนาถาม พร้อมเดินไปที่หีบที่ภรรยาของเขาซ่อนนักบวชไว้ ซึ่งตอนนี้เขากลัวมาก
ชาวนาเปิดฝาเพียงนิดเดียว และแอบมองเข้าไป
“โอ้” เขาตะโกน ถอยหลัง “ฉันเห็นมัน และมันเหมือนนักบวชของเรามาก น่ากลัวจริงๆ!”
หลังจากนั้นเขาต้องดื่มอีกครั้ง และพวกเขานั่งดื่มกันจนดึกดื่น
“นายต้องขายนักมายากลให้ฉัน” ชาวนาพูด “ขอเท่าไหร่ก็ได้ ฉันจะจ่าย แม้จะให้ทองคำเต็มถังฉันก็ยอม”
“ไม่ได้หรอก” คลอสเล็กบอก “คิดดูสิว่าฉันจะได้กำไรจากนักมายากลนี้มากแค่ไหน”
“แต่ฉันอยากได้จริงๆ” ชาวนา พยายามขอร้องต่อ
“เอาล่ะ” คลอสเล็กพูดในที่สุด “นายใจดีให้ฉันพักค้างคืน ฉันจะไม่ปฏิเสธ นายจะได้นักมายากลไปในราคาทองคำเต็มถัง แต่ต้องเต็มจริงๆ นะ”
“ได้เลย” ชาวนาพูด “แต่นายต้องเอาหีบนั้นไปด้วย ฉันไม่อยากให้มันอยู่ในบ้านอีกแม้แต่ชั่วโมงเดียว ไม่รู้ว่ามันยังอยู่ในนั้นหรือเปล่า”
คลอสเล็กจึงให้ถุงที่ใส่หนังม้าแห้งแก่ชาวนา และได้รับทองคำเต็มถังเป็นการแลกเปลี่ยน ชาวนาให้รถเข็นเพื่อขนหีบและทองคำไปด้วย
“ลาก่อน” คลอสเล็กพูด ขณะเดินจากไปพร้อมกับเงินและหีบใหญ่ที่นักบวชยังซ่อนอยู่ข้างใน
ด้านหนึ่งของป่ามีแม่น้ำกว้างและลึก น้ำไหลเชี่ยวมากจนแทบไม่มีใครว่ายทวนกระแสได้ มีสะพานใหม่สร้างขึ้นข้ามแม่น้ำ และตรงกลางสะพาน คลอสเล็กหยุดแล้วพูดเสียงดังเพื่อให้นักบวชได้ยินว่า “ฉันจะทำยังไงกับหีบโง่ๆ นี้ดี มันหนักเหมือนเต็มไปด้วยหิน ถ้าฉันเข็นต่อไปคงเหนื่อย งั้นฉันโยนมันลงแม่น้ำดีกว่า ถ้ามันลอยตามฉันไปถึงบ้านก็ดี ถ้าไม่ลอยก็ไม่เป็นไร”
เขาจับหีบขึ้นมาเล็กน้อย เหมือนจะโยนมันลงน้ำ
“ไม่ อย่าทำ!” นักบวชตะโกนจากในหีบ “ปล่อยฉันออกไปก่อน”
“โอ้” คลอสเล็กแสร้งทำเป็นตกใจ “เขายังอยู่ในนั้นเหรอ? ฉันต้องโยนเขาลงแม่น้ำให้จมน้ำตาย”
“ไม่ ไม่!” นักบวชร้อง “ฉันจะให้เงินเต็มถังถ้านายปล่อยฉันไป”
“อืม นั่นอีกเรื่องหนึ่ง” คลอสเล็กพูดพร้อมเปิดหีบ
นักบวชคลานออกมา ผลักหีบเปล่าลงน้ำ แล้วกลับไปบ้านของเขา จากนั้นเขาตวงทองคำเต็มถังให้คลอสเล็ก ซึ่งก่อนหน้านี้ได้รับจากชาวนาแล้วหนึ่งถัง ตอนนี้เขาจึงมีรถเข็นที่เต็มไปด้วยทอง
“ฉันได้ค่าตอบแทนจากม้าตัวนั้นดีจริงๆ” เขาพูดกับตัวเองเมื่อถึงบ้าน เข้าไปในห้องของตัวเอง และเทเงินทั้งหมดลงกองบนพื้น “คลอสใหญ่คงโมโหมากถ้ารู้ว่าฉันรวยขนาดนี้จากม้าตัวเดียว แต่ฉันจะไม่บอกเขาว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง”
จากนั้นเขาส่งเด็กไปยืมถังตวงจากคลอสใหญ่
“เขาจะเอาไปทำอะไร?” คลอสใหญ่คิด เขาจึงทาก้นถังด้วยน้ำมันดิน เพื่อให้สิ่งที่ใส่ลงไปติดอยู่บ้าง และมันก็เป็นเช่นนั้น เมื่อถังตวงกลับมา มีเหรียญเงินใหม่สามเหรียญติดอยู่ที่ก้นถัง
“นี่มันหมายความว่ายังไง?” คลอสใหญ่พูด เขารีบวิ่งไปหาคลอสเล็กแล้วถามว่า “นายได้เงินมามากมายจากไหน?”
“โอ้ จากหนังม้าของฉัน ฉันขายมันเมื่อวานนี้”
“มันได้ราคาดีจริงๆ” คลอสใหญ่พูด เขารีบวิ่งกลับบ้าน คว้าขวาน และตีหัวม้าทั้งสี่ตัวของเขา ถลกหนังออก แล้วนำไปขายที่เมือง
“หนังม้า หนังม้า ใครจะซื้อหนังม้า?” เขาตะโกนขณะเดินไปตามถนน ช่างทำรองเท้าและช่างฟอกหนังวิ่งมาถามว่าเขาขายเท่าไหร่
“ถังละหนึ่งถังเงิน” คลอสใหญ่ตอบ
“นายบ้าเหรอ?” ทุกคนตะโกน “นายคิดว่าเรามีเงินให้ใช้เป็นถังๆ เหรอ?”
“หนังม้า หนังม้า” เขาตะโกนอีกครั้ง “ใครจะซื้อหนังม้า?” แต่สำหรับทุกคนที่ถามราคา เขาตอบว่า “ถังละหนึ่งถังเงิน”
“เขาหลอกเรา” ทุกคนพูด ช่างทำรองเท้าคว้าเข็มขัด และช่างฟอกหนังคว้าผ้ากันเปื้อนหนัง เริ่มตีคลอสใหญ่
“หนังม้า หนังม้า!” พวกเขาตะโกนเยาะเย้ย “ใช่ เราจะทำให้ผิวของนายเป็นรอยจนเขียวช้ำ”
“ไล่เขาออกจากเมือง!” พวกเขาพูด และคลอสใหญ่ต้องวิ่งหนีสุดชีวิต เขาไม่เคยถูกตีหนักขนาดนี้มาก่อน
“อา” เขาพูดเมื่อกลับถึงบ้าน “คลอสเล็กต้องชดใช้ให้ฉัน ฉันจะตีมันให้ตาย”
ในขณะเดียวกัน คุณยายของคลอสเล็กเสียชีวิต เธอเป็นคนใจร้ายและไม่ดีกับเขา แต่เขาก็เสียใจมาก เขานำร่างของเธอไปวางบนเตียงอุ่นๆ ของเขา เพื่อดูว่าจะทำให้เธอฟื้นขึ้นมาได้หรือไม่
เขาตัดสินใจให้เธอนอนที่นั่นทั้งคืน ส่วนเขานั่งบนเก้าอี้ที่มุมห้องอย่างที่เคยทำบ่อยๆ
ในคืนนั้น ขณะที่เขานั่งอยู่ ประตูเปิดออก และคลอสใหญ่เดินเข้ามาพร้อมขวาน เขารู้ดีว่าเตียงของคลอสเล็กอยู่ที่ไหน เขาจึงเดินตรงไปที่เตียง และตีหัวคุณยาย คิดว่านั่นคือคลอสเล็ก
“นี่ไง” เขาตะโกน “ตอนนี้แกหลอกฉันไม่ได้อีกแล้ว” แล้วเขาก็กลับบ้านไป
“นี่คือคนชั่วร้ายมาก” คลอสเล็กคิด “เขาตั้งใจจะฆ่าฉัน โชคดีที่คุณยายของฉันเสียชีวิตไปแล้ว ไม่งั้นเขาคงฆ่าเธอ”
จากนั้นเขานำเสื้อผ้าที่ดีที่สุดของคุณยายมาใส่ให้เธอ ยืมม้าจากเพื่อนบ้าน และผูกม้ากับรถม้า เขาวางร่างคุณยายไว้ที่เบาะหลัง เพื่อไม่ให้เธอตกขณะขับรถ และขับรถผ่านป่าไป
เมื่อถึงตอนเช้า พวกเขามาถึงโรงแรมใหญ่แห่งหนึ่ง คลอสเล็กหยุดและเข้าไปหาอะไรกิน เจ้าของโรงแรมเป็นคนรวยและใจดี แต่ก็อารมณ์ร้อนเหมือนทำจากพริกและยานัตถุ์
“สวัสดีตอนเช้า” เขาพูดกับคลอสเล็ก “วันนี้มานานหน่อยนะ”
“ใช่” คลอสเล็กบอก “ฉันกำลังไปเมืองพร้อมคุณยาย เธอนั่งอยู่หลังรถม้า แต่ฉันพาเธอเข้ามาในห้องไม่ได้ คุณช่วยเอาน้ำผึ้งสักแก้วไปให้เธอได้ไหม? แต่ต้องพูดเสียงดังๆ เพราะเธอไม่ได้ยินดี”
“ได้สิ แน่นอน” เจ้าของโรงแรมตอบ และรินน้ำผึ้งหนึ่งแก้ว นำออกไปให้คุณยายที่เสียชีวิตแล้ว ซึ่งนั่งตัวตรงอยู่ในรถม้า
“นี่คือน้ำผึ้งจากหลานชายของท่าน” เจ้าของโรงแรมพูด คุณยายที่เสียชีวิตแล้วไม่ตอบอะไรเลย นั่งนิ่งสนิท
“ท่านไม่ได้ยินเหรอ?” เจ้าของโรงแรมตะโกนสุดเสียง “นี่คือน้ำผึ้งจากหลานชายของท่าน!”
เขาตะโกนซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่เมื่อเธอไม่ขยับ เขาก็โกรธจัด และโยนแก้วน้ำผึ้งใส่หน้าของเธอ มันกระทบจมูก และเธอล้มหงายหลังออกจากรถ เพราะเธอแค่นั่งอยู่ ไม่ได้ผูกไว้
“เฮ้!” คลอสเล็กตะโกน วิ่งออกจากประตู และคว้าคอเจ้าของโรงแรม “คุณฆ่าคุณยายของฉัน! ดูสิ มีรูใหญ่ที่หน้าผากเธอ”
“โอ้ โชคร้ายจริงๆ” เจ้าของโรงแรมพูด พร้อมบิดมือ “ทั้งหมดนี้เพราะอารมณ์ร้อนของฉัน คลอสเล็กที่รัก ฉันจะให้เงินเต็มถัง และฉันจะฝังคุณยายของนายเหมือนเป็นคนของฉันเอง แค่เก็บเงียบ ไม่งั้นพวกเขาจะตัดหัวฉัน และนั่นคงไม่ดีแน่”
ดังนั้น คลอสเล็กจึงได้รับเงินอีกถังหนึ่ง และเจ้าของโรงแรมฝังคุณยายของเขาเหมือนเป็นคนของเขาเอง
เมื่อคลอสเล็กกลับถึงบ้าน เขาส่งเด็กไปหาคลอสใหญ่ ขอยืมถังตวง
“นี่มันยังไงกัน?” คลอสใหญ่คิด “ฉันไม่ได้ฆ่าเขาหรือ? ฉันต้องไปดูด้วยตัวเอง”
เขาจึงไปหาคลอสเล็ก และพาถังตวงไปด้วย “นายได้เงินมามากมายจากไหน?” คลอสใหญ่ถาม พร้อมจ้องมองสมบัติของเพื่อนบ้านด้วยตาโต
“นายฆ่าคุณยายของฉันแทนฉัน” คลอสเล็กบอก “ฉันเลยขายเธอได้เงินเต็มถัง”
“นั่นเป็นราคาที่ดีจริงๆ” คลอสใหญ่พูด เขากลับบ้าน คว้าขวาน และฆ่าคุณยายของตัวเองด้วยการตีเพียงครั้งเดียว
จากนั้นเขาวางร่างเธอบนรถม้า และขับไปที่เมือง ไปหาเภสัชกร และถามว่าเขาจะซื้อร่างคนตายไหม
“มันเป็นของใคร และนายได้มาจากไหน?” เภสัชกรถาม
“มันคือคุณยายของฉัน” เขาตอบ “ฉันฆ่าเธอด้วยการตี เพื่อจะได้เงินเต็มถัง”
“สวรรค์ช่วย!” เภสัชกรตะโกน “นายเสียสติไปแล้ว อย่าพูดแบบนี้ ไม่งั้นนายจะเสียหัว”
จากนั้นเขาพูดอย่างจริงจังถึงการกระทำอันชั่วร้ายที่เขาทำ และบอกว่าคนชั่วแบบนี้ต้องได้รับโทษ คลอสใหญ่กลัวมาก เขารีบวิ่งออกจากร้าน กระโดดขึ้นรถม้า ตีม้าให้วิ่ง และขับกลับบ้านอย่างรวดเร็ว เภสัชกรและทุกคนคิดว่าเขาบ้า และปล่อยให้เขาขับไปตามใจ
“แกต้องชดใช้ให้ฉัน” คลอสใหญ่พูดเมื่อถึงถนนใหญ่ “แกต้องชดใช้ คลอสเล็ก”
ทันทีที่ถึงบ้าน เขาควรถุงใบใหญ่ที่สุดที่หาได้ และไปหาคลอสเล็ก “แกหลอกฉันอีกแล้ว” เขาพูด “ครั้งแรก ฉันฆ่าม้าทั้งหมดของฉัน แล้วก็คุณยายของฉัน และมันเป็นความผิดของแก แต่แกจะหลอกฉันไม่ได้อีก”
เขาจับตัวคลอสเล็ก และยัดเขาเข้าไปในถุง สะพายถุงไว้บนบ่า พูดว่า “ตอนนี้ฉันจะจมน้ำแกในแม่น้ำ”
เขาต้องเดินไกลมากกว่าจะถึงแม่น้ำ และคลอสเล็กก็หนักไม่ใช่เล่น ถนนผ่านโบสถ์ และขณะที่ผ่านไป เขาได้ยินเสียงออร์แกนและผู้คนร้องเพลงอย่างไพเราะ
คลอสใหญ่วางถุงลงใกล้ประตูโบสถ์ และคิดว่าเขาควรเข้าไปฟังเพลงสักบทก่อนจะไปต่อ คลอสเล็กออกจากถุงไม่ได้แน่ๆ และทุกคนอยู่ในโบสถ์ เขาจึงเข้าไป
“โอ้ โธ่” คลอสเล็กถอนหายใจในถุง ขณะที่เขาดิ้นไปมา แต่เขาพบว่าแก้เชือกที่มัดไว้ไม่ได้
ทันใดนั้น คนเลี้ยงวัวชราที่มีผมขาวโพลนเดินผ่านมา ถือไม้เท้าขนาดใหญ่ และต้อนฝูงวัวและควายจำนวนมากไปข้างหน้า พวกมันสะดุดถุงที่คลอสเล็กอยู่ และทำให้ถุงกลิ้ง
“โอ้ โธ่” คลอสเล็กถอนหายใจ “ฉันยังเด็กนัก แต่กำลังจะไปสวรรค์แล้ว”
“และฉัน คนน่าสงสาร” คนเลี้ยงวัวพูด “ฉันที่แก่ขนาดนี้แล้ว ยังไปที่นั่นไม่ได้”
“เปิดถุงสิ” คลอสเล็กตะโกน “คลานเข้ามาแทนฉัน แล้วนายจะได้ไปที่นั่นเร็วๆ”
“ด้วยความยินดี” คนเลี้ยงวัวตอบ พร้อมเปิดถุง และคลอสเล็กกระโดดออกมาเร็วที่สุด
“นายจะดูแลวัวของฉันไหม?” ชายชราถามขณะคลานเข้าไปในถุง
“ได้สิ” คลอสเล็กบอก และมัดถุงให้แน่น แล้วเดินจากไปพร้อมกับวัวและควายทั้งหมด
เมื่อคลอสใหญ่เดินออกจากโบสถ์ เขาหยิบถุงขึ้นมาและสะพายไว้บนบ่า ดูเหมือนถุงจะเบาลง เพราะชายชราหนักไม่ถึงครึ่งของคลอสเล็ก
“มันเบาขึ้นเยอะเลย” เขาพูด “อา เพราะฉันได้ไปโบสถ์มา”
เขาจึงเดินต่อไปยังแม่น้ำที่ลึกและกว้าง และโยนถุงที่มีชายชราอยู่ลงไปในน้ำ โดยคิดว่านั่นคือคลอสเล็ก “นอนอยู่ตรงนั้นแหละ!” เขาตะโกน “แกจะหลอกฉันไม่ได้อีกแล้ว”
จากนั้นเขาหันหลังกลับบ้าน แต่เมื่อมาถึงทางแยก เขาเห็นคลอสเล็กต้อนฝูงวัว “นี่มันยังไงกัน?” คลอสใหญ่พูด “ฉันไม่ได้จมน้ำแกไปเมื่อกี้เหรอ?”
“ใช่” คลอสเล็กบอก “นายโยนฉันลงแม่น้ำเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน”
“แต่นายได้สัตว์สวยๆ เหล่านี้มาจากไหน?” คลอสใหญ่ถาม
“สัตว์เหล่านี้คือวัวทะเล” คลอสเล็กตอบ “ฉันจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง และขอบคุณที่จมน้ำฉัน ตอนนี้ฉันอยู่เหนือนาย ฉันรวยมากจริงๆ ฉันกลัวแน่ๆ ตอนที่ถูกมัดอยู่ในถุง และลมพัดในหูฉันเมื่อนายโยนฉันลงแม่น้ำจากสะพาน และฉันจมลงไปถึงก้นทันที แต่ฉันไม่เจ็บ เพราะฉันตกลงบนหญ้าอ่อนๆ ที่งอกอยู่ข้างล่าง และในทันที ถุงก็เปิดออก และสาวน้อยที่งดงามที่สุดเดินมาหาฉัน เธอสวมชุดขาวราวหิมะ และมีพวงมาลัยใบไม้เขียวบนผมเปียกของเธอ เธอจับมือฉันและพูดว่า ‘มาแล้ว คลอสเล็ก และนี่คือวัวบางตัวให้เริ่มต้น ไปอีกหนึ่งไมล์ตามถนน จะมีฝูงวัวอีกฝูงรอนายอยู่’”
จากนั้นฉันเห็นว่าแม่น้ำเป็นถนนใหญ่สำหรับคนที่อยู่ในทะเล พวกเขาเดินและขับรถไปมาระหว่างทะเลและบกที่จุดสิ้นสุดของแม่น้ำ ก้นแม่น้ำเต็มไปด้วยดอกไม้สวยงามและหญ้าสด ปลาว่ายผ่านฉันไปเร็วราวกับนกบินในอากาศ ผู้คนสวยงามแค่ไหน และวัวที่เล็มหญ้าบนเนินเขาและในหุบเขาก็งดงามมาก!”
“แต่ทำไมนายขึ้นมาอีก ถ้าข้างล่างสวยงามขนาดนั้น?” คลอสใหญ่ถาม “ถ้าเป็นฉัน ฉันจะไม่ออกมา”
“อืม” คลอสเล็กบอก “มันเป็นกลยุทธ์ที่ดีของฉัน นายได้ยินฉันบอกเมื่อกี้ว่านางทะเลบอกให้ฉันไปอีกหนึ่งไมล์ตามถนน แล้วฉันจะเจอฝูงวัว ถนนที่เธอหมายถึงคือแม่น้ำ เพราะเธอเดินทางทางอื่นไม่ได้ แต่ฉันรู้ว่าแม่น้ำคดเคี้ยว บางครั้งไปทางขวา บางครั้งไปทางซ้าย และมันดูไกล ฉันจึงเลือกทางที่สั้นกว่า โดยขึ้นมาบนบก แล้วต้อนวัวข้ามทุ่งกลับไปที่แม่น้ำ ฉันจะประหยัดระยะทางครึ่งไมล์ และได้วัวของฉันเร็วขึ้น”
“นายโชคดีจริงๆ!” คลอสใหญ่ตะโกน “นายคิดว่าฉันจะได้วัวทะเลบ้างไหมถ้าฉันลงไปที่ก้นแม่น้ำ?”
“ฉันคิดว่าได้” คลอสเล็กบอก “แต่ฉันแบกนายไปในถุงไม่ได้ นายหนักเกินไป อย่างไรก็ตาม ถ้านายไปที่นั่นก่อน แล้วคลานเข้าไปในถุง ฉันจะโยนนายลงไปด้วยความยินดี”
“ขอบคุณ” คลอสใหญ่พูด “แต่จำไว้นะ ถ้าฉันไม่ได้วัวทะเลข้างล่างนั้น ฉันจะขึ้นมาและตีนายให้หนัก”
“ไม่ อย่าโหดเกินไป!” คลอสเล็กพูด ขณะที่พวกเขาเดินไปยังแม่น้ำ
เมื่อใกล้ถึงแม่น้ำ วัวที่กระหายน้ำมาก เห็นสายน้ำ และวิ่งลงไปดื่ม
“ดูสิ พวกมันรีบแค่ไหน” คลอสเล็กพูด “พวกมันอยากลงไปข้างล่างอีก”
“มา ช่วยฉัน รีบหน่อย” คลอสใหญ่พูด “ไม่งั้นนายจะถูกตี”
เขาจึงคลานเข้าไปในถุงใหญ่ที่วางอยู่บนหลังวัวตัวหนึ่ง
“ใส่หินลงไปด้วย” คลอสใหญ่พูด “ไม่งั้นฉันอาจจะไม่จม”
“โอ้ ไม่ต้องกลัวหรอก” เขาตอบ แต่ก็ใส่หินก้อนใหญ่ลงไปในถุง และมัดให้แน่น แล้วผลัก
“ตูม!” คลอสใหญ่จมลงไปที่ก้นแม่น้ำทันที
“ฉันกลัวว่าเขาจะไม่เจอวัว” คลอสเล็กพูด แล้วต้อนสัตว์ของตัวเองกลับบ้าน